วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มหาวิหารคาร์นัค

มหาวิหารคาร์นัค (Great Temple of Karnak) เป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุดของอียิปต์ เรื่องราวและร่องรอยแห่งอารยธรรมที่แท้จริงของอียิปต์โบราณทั้งทางด้านศิลปะ และวัฒธรรมของคนในยุคนั้นได้บ่งบอกไว้ในซากปรักหักพังของมหาวิหารคาร์นัคอัน ยิ่งใหญ่และกว้างใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้เอง


  
 
มหาวิหารคาร์นัคอยู่ห่างจากศูนย์กลางตัวเมืองคือ ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของวิหารลักซอร์ประมาณ 2.6 กิโลเมตร สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพเจ้าอะมอนราเช่นเดียวกันกับวิหารลักซอร์ และเพื่อเป็นสถานที่จัดพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อของอียิปต์โบราณ ดังนั้นวิหารทั้งสองจึงมีความเกี่ยวพันกันเกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรมทาง ศาสนา ในอดีตจึงมีเส้นทางถนนเชื่อมต่อถึงกันและสองข้างทางเข้าสู่กำแพงชั้นที่ 1 จะถูกประดับด้วยตัวสฟิงซ์ (Sphinx) นั่งหมอบเรียงรายตลอดความยาว 2.6 กิโลเมตรอย่างอลังการ

 
  "คาร์นัค" (Karnak) เป็นชื่อหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในเมืองอะมอนอันหมายถึงเมืองของเทพอะ มอน แต่เดิมนั้นชื่อเมืองมีชื่อว่า "วาเซ็ต" แล้วต่อมาจึงได้เปลี่ยนเป็นชื่อนคร "ธีบส์" จนในที่สุดจึงได้เป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรไอยคุปต์เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์ ที่ 11 จนถึงสมัยราชวงศ์ที่ 21 นับเวลายาวนานร่วม 1,000 ปี ( 2120-1085 B.C.) และยังได้กลับมาเป็นเมืองหลวงอีกครั้งในราชวงศ์ที่ 25 อีกถึง 50 ปี ( 716-666 B.C.)
มหาวิหารคาร์นัคสร้างโดยฟาโรห์เซซอสตริสที่ 1 ( SeSostris I ) กษัตริย์องค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์ที่ 12 ( 1991 B.C. ) อันปรากฏหลักฐานเก่าแก่ที่สุดอยู่ในหมู่วิหารของเทพอะมอนรา คือห้องบูชาเทพอะมอนรา และห้องแท่นบูชาเรือศักดิ์สิทธิ์ของเทพอะมอน ( Sacred Barque Sancutary และ Central Court of Amon ) อยู่ด้านหลังกำแพงชั้นที่ 6 มีอายุมากที่สุด นับรวมอายุถึงปัจจุบันร่วม 4,000 ปี

  
 
ต่อมาได้รับการต่อเติมปฏิสังขรณ์ขยายอาณาเขตออกไปเรื่อยๆ ในทุกๆยุค โดยเฉพาะช่วงราชวงศ์ที่ 18-20 มีการบูรณะวิหารแห่งนี้มากที่สุดและบูรณะต่อเนื่องจนถึงยุคโรมันเข้ามาครอบ ครอง จนกลายเป็นวิหารที่มีอาคารมากมายกว้างขวางและใหญ่โตที่สุดในโลก
หากนับเวลาติดต่อกันมาตั้งแต่ต้นราชวงศ์ที่ 11 ที่ได้ย้ายเมืองหลวงมายังนครธีบส์ จนกระทั่งถึงยุคโรมันนับเวลาเกือบ 2,000 ปี เทพเจ้าอะมอนราก็ยังคงเป็นสุริยเทพอันยิ่งใหญ่และเป็นเทพประจำเมืองนี้ตลอด มา วิหารแห่งนี้จึงเป็นศูนย์รวมความเชื่อ ความศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของชาวอียิปต์โบราณ
อะมอน, อะมัน, อะมุน, อะมอนรา (Amon,Amun,Amon-Ra) ทั้ง 3 คำมีความหมายเดียวกันคือ สุริยเทพองค์เดียวกัน มีรูปร่างเป็นชายหนุ่มสวมหมวกขนนกคู่สูงและมีแผ่นวงกลมสุริยะ ( Solar Disk ) ด้านหน้า
รา (Ra), เร (Re) ส่วนใหญ่นิยมเรียกว่า รา มีความหมายเหมือนกัน หมายถึงเทพเจ้ารา บิดาแห่งเทพยดาทั้งปวง เทพเจ้าราคือผู้ที่เนรมิตเทพอะมอนรา เทพรา-ฮอรัคตี้หัวเหยี่ยว ฯลฯ

  
 
เทพเจ้ารา คือสุริยเทพอันเป็นใหญ่ยิ่ง ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า “เทพเจ้าราคือผู้สร้างโลกสร้างสวรรค์เบื้องบน และสร้างโลกเบื้องล่าง เทพเจ้า รา คือผู้ที่เนรมิตเทพยดาทุกองค์และสร้างมนุษย์ แม้กระทั่งขุนเขา แผ่นฟ้า แม่น้ำ สร้างกลางวัน กลางคืน และสร้างเดือน สร้างปีที่ผ่านไป”
เทพเจ้าราได้เนรมิตร่างลงมาปกครองอาณาจักรของตนไนร่างของมนุษย์ ซึ่งอยู่ในฐานะสุริยเทพและอยู่ในฐานะฟาโรห์ด้วย เทพเจ้าองค์นั้นก็คือ เทพเจ้าอะมอนรานั่นเอง อำนาจและบารมีแห่งเทพอะมอนรานั้นได้รับการกล่าวขานกันว่า ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในชัยชนะเหนือศัตรูทั้งหลายของเหล่าฟาโรห์ ล้วนเกิดจากพลังอำนาจและพรอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพอะมอนราช่วยทั้งสิ้น
เทพเจ้ารายังคงทิ้งสัญลักษณ์และยังคงเป็นบิดรแห่งเทพทั้งปวง ด้วยสัญลักษณ์รูปวงกลมดวงอาทิตย์มีงูแผ่แม่เบี้ย 2 ตัวขนาบข้างดวงอาทิตย์ มีรัศมีแสงดวงอาทิตย์เป็นรูปปีกเหยี่ยวกำลังกางออก จะปรากฏอยู่เหนืออาคารบริเวณหน้าจั่วด้านนอก หรือไม่ก็เห็นภายในอาคารในที่สูง หรือแม้กระทั่งตามสุสานก็ยังปรากฏ เพื่อให้ช่วยคอยปกป้องคุ้มครอง และหากเมื่อสิ้นไปแล้ว สัญลักษณ์ของเทพเจ้าราจะกลายเป็นหัวแกะ ดังเช่นตัวสฟิงซ์หัวแกะหมอบนั่งเฝ้าตามวิหารทั่วไป นั้นแหล่ะคือตัวแทนพระเจ้ารา
เสริมอีกนิดเรื่องรูปพระอาทิตย์มีปีก ตำนานกล่าวกันว่าเป็นร่างจำเเลงของ "horus behdety" ลัทธิการนับถือเทพองค์นี้หลัก ๆ อยู่ "เอ็ดฟู" ตำนานบางเเห่งกล่าวว่า ฮอรัสจำเเลงเป็นพระอาทิตย์มีปีกเพื่อปกป้องเรือสุริยะเเละเทพรา บางเเห่งกล่าวว่าเทพธอทได้ร่ายมนต์ให้ฮอรัสเป็นดวงอาทิตย์มีปีกเพื่อสู้กับ เซท คิดว่างูตรงนั้นคือเทพีเนคเบท ส่วนบางตำราน่าจะกล่าวเป็นเทพราด้วย

  
 
มหาวิหารคาร์นัคมีพื้นที่ประมาณ 0.8x1.5 กิโลเมตร แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนที่สำคัญและใหญ่ที่สุดคือ วิหารของเทพอะมอนราซึ่งอยู่ตรงกลางและมีพื้นที่มากที่มากที่สุด ประกอบด้วยหมู่สถาปัตยกรรมของเหล่าฟาโรห์หลายยุคสมัย
ส่วนที่ 2 อยู่ทางทิศเหนือคือ วิหารเทพมอนตู ( Montu ) เทพองค์นี้เคยเป็นเทพประจำท้องถิ่นนี้มาก่อนเป็นสัญลักษณ์แห่งการรบของ ฟาโรห์และเทวีมาอัต (Maat)
ส่วนที่สาม คือวิหารเทวีมัต ( Mut ) ทางด้านใต้ของวิหารอะมอนรามีทางเชื่อมต่อถึงกัน สองข้างทางประดับด้วยสฟิงซ์หัวแกะนั่งเฝ้าตลอดทาง ตามอ้างอิงเดิมทีสฟิงซ์หัวแกะน่าจะเกิดขึ้นในสมัยของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 กับฟาโรห์ทุตโมสที่ 4
ด้วยเหตุที่มีหมู่วิหารมากมายประกอบกันในพื้นที่ขนาดใหญ่นี้แหล่ะ จึงได้รับเกียรติเรียกขานว่า “มหาวิหาร” ปัจจุบันนี้เหลือเพียงซากปรักหักพังเท่านั้นที่หลงเหลือไว้ให้ชม แต่บางส่วนก็ยังถือว่าสมบูรณ์ในระดับหนึ่ง แสดงออกถึงร่องรอยอารยธรรมให้เราได้เรียนรู้จนในปัจจุบันนี้

  
 
ด้านหน้าประตูทางเข้า เดิมเป็นท่าน้ำและมีท่าเรือหน้าทางเข้าวิหาร เมื่อก่อนมีคลองเชื่อมออกไปยังแม่น้ำไนล์ ในช่วงน้ำหลากซึ่งตรงกับเทศกาลโอเป็ต ( Opet Festival ) ประชาชน, พระ, เณรประจำวิหารคาร์นัคจะร่วมกันอัญเชิญเทพอะมอนราและครอบครัว อันมีชายาเทวีมัตและโอรสคือเทพคอนซู ทรงประทับเรือศักดิ์สิทธิ์ประดับด้วยหัวแกะ อันเป็นสัญลักษณ์ของเทพอะมอนราอีกรูปไปพักผ่อนรื่นเริงกันที่วิหารลักซอร์ หากไม่ใช่ช่วงน้ำหลากก็จะไปกันทางบกคือทางที่เชื่อมถึงกันและมีสฟิงซ์หมอบ เฝ้าข้างทางเรียงรายตลอดเส้นท่าง 2.5 กิโลเมตร

 

ส่วนต้นทางมีเสาโอเบลิสก์ขนาดเล็กของฟาโรห์เซติที่ 2 ฟาโรห์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่ 19 ตั้งอยู่ ความหมายของเสาโอเบลิสก์ มีความหมายถึง "ชีวิตรุ่งโรจน์และความสว่าง" เพื่อบูชาสรรเสริญเทพรา ส่วนใต้คางของสฟิงซ์จะมีรูปองค์ฟาโรห์ขนาดเล็กยืนอยู่ นั่นหมายความว่าสฟิงซ์หัวแกะจะคอยปกป้องภัยต่าง ๆ อารักขาฟาโรห์ ฟาโรห์ที่ว่าก็คือฟาโรห์ผู้สร้างสฟิงซ์นี้ นั่นคือฟาโรห์รามเสสที่ 2

  
 
ความมหึมาของกำแพงชั้นที่ 1 มีความกว้างถึง 113 เมตร ความหนา 15 เมตร ก่อด้วยอิฐก้อน แม้ว่าความสูงจะประมาณยากเพราะความผุพังหลุดหล่นหายไปมาก แต่หนังสือบางเล่มก็กล่าวว่าน่าจะมีความสูงราว ๆ 50 เมตร ส่วนกำแพงด้านซีกซ้ายมือ จะสังเกตเห็นว่ามีบันไดเหล็กขึ้นสู่ชั้นบนสุดเพื่อขึ้นไปชมวิวมหาวิหารคาร์ นัคในมุมกว้างครอบคลุมทุกจุดของหมู่วิหารได้
หลังกำแพงด้านซ้ายมือ เป็นที่ประทับของเทวีมัต, เทพอะมอนราและเทพคอนซู เป็นวิหารหลังเล็กตามลำดับทั้ง 3 คือ พ่อแม่ลูกกัน วิหารส่วนนี้ฟาโรห์เซติที่ 2 เป็นผู้สร้างถวาย

 

ส่วนบริเวณลานกว้างนี้เรียกว่า ( Great Court ) และด้านขวามือสุดเป็นวิหารโชว์สถาปัตกรรมของเสาประดับรูปเทพโอซิริส ที่เรียกกันว่าเป็นศิลปะแบบ "โอซิไรด์ฟิลลาร์ส" ( Osiride Pillars ) เรียงรายข้างผนังทั้งสองข้าง ก่อนจะถึงห้องบูชาเทพเจ้าอะมอนราและครอบครัวด้านในสุดของวิหาร จะต้องผ่านส่วนที่เรียกว่า "ไฮโปสไตล์ฮอลล์" ( Hypostyle Hall ) เป็นบริเวณที่มีการวางเสาขนาดใหญ่ ประดับหัวเสารูปดอกปาปิรัสแบบถี่ๆ  ไว้หลายต้นในพื้นที่สี่เหลี่ยมทั้งหมด พื้นที่ส่วนนี้กว้างเกือบ 6,000 ตารางเมตร มีรอบวงถึง 10 เมตร รวมจำนวนเสาร่วม 134 ต้น สร้างด้วยการสกัดสลักหินทรายเป็นท่อนต่อกัน ตั้งค้ำคานหินขนาดใหญ่อยู่เหนือเสาสูง 23 เมตร รอบเสาประดับด้วยภาพแกะสลักร่องลึกลงสีภาพภารกิจของฟาโรห์ทั้งเรื่องศาสนา และสงครามบนหัวเสาถูกประดับด้วยสไตล์อียิปต์คือ รูปทรงดอกปาปิรัสบานจำนวน 12 ต้น ซึ่งเป็นเสาเอกเรียงสองข้างทางทั้งด้านซ้ายและด้านขวาสู่กำแพงชั้นต่อไป
ส่วนด้านในทั้งสองด้านคือด้านทิศเหนือและด้านทิศใต้ หัวเสาจะเป็นรูปทรงดอกบัวตูม ผลงานของฟาโรห์รามเสสที่ 2 แกะสลักภายในแบบร่องลึกเพื่อป้องกันการถูกทำลาย
ส่วนฝั่งตรงกันข้ามคือด้านทิศเหนือ ภาพแกะสลักเป็นแบบนูนต่ำเป็นผลงานของเซติที่ 2 ซึ่งเป็นลักษณะที่สามารถถูกทำลายและขุดแซะง่าย ภายในบริเวณไฮโปสไตล์ฮอลล์นี้ ผู้เริ่มลงมือสร้างคนแรกคือ ฟาโรห์อเมนโนฟิสที่ 3 มาจนถึงในสมัยของฟาโรห์โฮเรมเฮบในราชวงศ์ที่ 18 แล้วจึงได้รับการสานต่อจนสำเร็จด้วยฝีมือพ่อลูกและหลานในราชวงศ์ที่ 19 คือฟาโรห์ เซติที่ 1 รามเสสที่ 2 ผู้ลูกและเซติที่ 2 ผู้หลานนี่เอง
ขอกล่าวถึง "ลานเกรตคอร์ต" ก่อนแล้วกัน ตรงกลางลานจะเห็นแท่นหินตั้งอยู่โดด ๆ ทราบมาว่าเป็นแท่นบูชาเทพเจ้าอะมอนราเช่นกันของสมัยทาฮาร์คา ( Taharqa ) ราชวงศ์ที่ 25 อันเป็นราชวงศ์ของชาวนูเบียนช่วงขึ้นเป็นใหญ่ในแผ่นดินอียิปต์ จึงได้สร้างวิหารขึ้นตรงนี้ แต่ปัจจุบันเหลือแค่แท่นบูชาและรอบ ๆ คือเสาขนาดยักษ์ของวิหารตั้งโดดเด่นอยู่ต้นเดียว บนสุดของหัวเสาเป็นสไตล์เดิม คือ รูปทรงดอกปาปิรัสบานแกะสลักร่องลึกลงสีทั้งหมดมี 10 ต้น ส่วนอีก 9 ต้นนั่นเหลือแต่ตอไปเสียแล้ว
ก่อนเข้ากำแพงชั้นที่ 2 มีรูปสลักของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ยืนเฝ้าสองข้าง และภายในห้องที่ผ่านกำแพงชั้นที่ 2 เข้าไปนั้น ผลงานส่วนใหญ่ได้สำเร็จลงด้วยดี ก็เป็นเพราะผลงานของฟาโรห์รามเสสที่ 2 นี่เอง

 

ระหว่างกำแพงชั้นที่ 3 และกำแพงชั้นที่ 4 เรียกว่า "เซ็นทรัลคอร์ต" ( Central Court ) เป็นของตระกูลธุตโมซิส แห่งราชวงศ์ที่ 18 คือฟาโรห์ธุตโมซิสที่ 1 ผู้เป็นพ่อ ฟาโรห์ธุตโมซิสที่ 2 ผู้เป็นลูกและฟาโรห์ธุตโมซิสที่ 3 ผู้เป็นหลาน ได้สร้างเสาโอเบลิสก์ตั้งไว้บริเวณนี้ 4 ต้น แต่ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ต้นเดียว ทราบว่าเป็นของธุตโมซิสที่ 1 มีความสูง 23 เมตร น้ำหนักราว 143 ตัน สร้างด้วยหินแกรนิตสีชมพู และส่วนด้านหลังกำแพงชั้นที่ 4 ที่ผุพังไป ก็มีเสาโอเบลิสก์อีกต้นบริเวณไฮโปสไตล์ฮอลล์ขนาดเล็กที่เหลือให้เห็นเพียง ซากตอ คือเสาโอเบลิสก์ของพระนางฮัตเชปสุต ผู้เป็นลูกของธุตโมซิสที่ 1 และเป็นเมียของฟาโรห์ ธุตโมซิสที่ 2 และในฐานะแม่ของฟาโรห์ธุตโมซิสที่ 3

 

เสาโอเบลิสก์ของพระนางสูงเกือบ 30 เมตร น้ำหนัก ร่วม 200 ตัน สลักมาจากแหล่งหินแกรนิตสีชมพูที่เมือง อัสวาน ( Aswan )

 

ระหว่างกำแพงชั้นที่ 5 และชั้นที่ 6 ยังเป็นผลงานของตระกูลธุตโมซิสอยู่มีเสาแท่งสี่เหลี่ยมตั้งคู่แต่ไม่สูงนัก น่า ทำด้วยหินแกรนิตสีชมพูแกะสลักอย่างประณีตที่ไม่ใช่การหล่อ นับว่าเป็นสุดยอดงานฝีมือแกะสลักของช่างสมัยนั้นจริง เป็นสัญลักษณ์ของสองอาณาจักรที่ฟาโรห์แห่งราชวงศ์นี้ปกครองอยู่ คือ เสารูปดอกปาปิรัสอันหมายถึงอาณาจักรล่างตั้งอยู่ด้านทิศเหนือ ส่วนอีกเสาวางคู่กันแต่อยู่ทางทิศใต้ถูกสลักเป็นรูปดอกบัว (water lily) หมายถึงอาณาจักรบน  
หลังกำแพงชั้นที่ 6 คือ ห้องเล็ก ๆ เก่าแก่ที่สุดเป็นวิหารแรกของวิหารคาร์นัค คือ ห้องบูชาเทพอะมอนรา จะมีแท่นบูชา "เรือโซลาร์โบ๊ต" เรืออันศักดิ์สิทธิ์ของเทพอะมอนรา เรือลำนี้ใช้แห่ในเทศกาลโอเป็ต
"โอเป็ต" เป็นชื่อ ของเทพองค์หนึ่งเป็นเทพสตรีแต่เป็นสัตว์น้ำ คือ "ฮิปโปตัวเมีย" ที่มีมากในแม่น้ำไนล์ ชาวไอยคุปต์นับถือจึงยกย่องกราบไหว้นั่นคือ "เทวีโอเป็ต" ในช่วงน้ำหลากจึงเกิดประเพณีอัญเชิญเทพอะมอนราในเทศกาลโอเป็ตนี่เอง
การนับถือสัตว์เป็นเทพเจ้านอกจากฮิปโปแล้วยังมีอีกมากมายที่ชาวไอยคุปต์ นับถือ อย่างเช่น จระเข้ชาวอียิปต์โบราณก็ยังนับถือเป็นเทพซึ่งก็ "เทพเจ้าโซเบ็ค" พบว่ามัมมี่จระเข้ทั้งตัวเก็บเอาไว้ด้วยที่วิหารคอมออมโบ
ขอตัดตอนอย่างตั้งใจอีกนิดนะทุกๆ ท่าน คาดว่าหลายท่านคงรู้จักเทพเจ้ามิน ( Min ) กันอยู่แล้วแต่ก็อยากเสริมให้อีกนิด เพราะชาวอียิปต์โบราณยกย่องนับถืออวัยวะเพศของผู้ชายเทียบเท่าเทพเจ้าองค์ หนึ่ง เทพมินนี้เกี่ยวพันกับเทพอะมอนรา และเป็นเทพสายตรงของเทพเจ้าราบิดาแห่งสุริยเทพ ตัวภาพแกะสลักร่องลึกอยู่ที่กำแพงชั้นในวิหารลักซอร์ เป็นผลงานของฟาโรห์ รามเสสที่ 2
ส่วนด้านหลังห้องนี้เป็นพื้นที่กว้างเต็มไปด้วยซากปรักหักพังของเสาและ อิฐ คือ บริเวณที่เรียกว่า Original Central Court และ Great Festival Temple ของฟาโรห์ธุตโมซิสที่ 3

 

สุดเขตวิหารคาร์นัคด้านทิศตะวันออกอยู่ที่บริเวณ Botanic Garden และ Sanctuary of Alexander แต่ก็ไม่ได้เหลือร่องรอยเค้าโครงไว้แล้ว
มีหลักฐานอ้างอิงไว้ว่าในสมัยของฟาโรห์อัคเคนาเตน แห่งราชวงศ์ที่ 18 ได้เปลี่ยนความเชื่อปฏิรูปศาสนาใหม่เดิมจากที่ผู้คนนับถือเทพเจ้าหลายองค์จน เกิดความสับสนและแตกแยกหลายกลุ่มยากแก่การปกครอง ยกตัวอย่างเช่น ที่เมืองเมมฟิสนับถือเทพพทาห์ เมืองเฮลิโอโปลิสนับถือเร อะตุม รา-ฮอรัคตี้ และอีกหลาย ๆ องค์ที่คล้ายกัน และที่เมืองธีบส์ยังต้องนับถือเทพอะมอนรา เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องเปลี่ยนให้มานับถือเทพองค์เดียว คือ สุริยะเทพอะเตน ( Aten ) มีสัญลักษณ์เหมือนกันกับสุริยเทพรา
พระองค์ได้ไปสร้างเมืองหลวงใหม่ที่เมือง "เทลเอลอามาร์นา" อยู่เหนือธีบส์ขึ้นไปอีก แต่การเปลี่ยนศาสนามานับถือเทพอะเตนนั้นเพียงแค่ช่วงเวลารัชสมัยของพระองค์ เท่านั้น หลังจากนั้นฟาโรห์องค์อื่นถัดมาก็กลับมานับถือเทพอะมอนราเหมือนเดิม
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ก่อนย้ายเมืองหลวงไปเมืองเทลเอลอามาร์นา พระองค์ก็ได้สร้างวิหารขึ้นที่นี้เหมือนกัน แต่สร้างอยู่นองเขตของวิหารคาร์นัคออกไปอีกทางด้านตะวันออก 
ส่วนประตูของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ทางทิศใต้เป็นลานกว้างที่หลงเหลือแต่ซากก้อนหินและเสาระเกะระกะเต็มไปหมด หลักฐานที่พอมองเห็นชัดคือกำแพงชั้นที่ 1,8 และ 9 ก่อนจะเชื่อมต่อด้วยทางเดินสู่วิหารของเทวีมัต

 

ส่วนบริเวณกว้างด้านนอกทางด้านซ้ายมือมีสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ ( Sacred Lake ) ขนาดใหญ่ สร้างโดยฟาโรห์อเมโนฟิสที่ 3 ในอดีตพระประจำวิหารจะนำน้ำในสระนี้เข้าประกอบพิธี บูชาเทพอะมอนราถึงวันละ 4 ครั้ง บริเวณใกล้กันก่อนถึงสระน้ำเป็นเสาโอเบลิสก์ขนาดใหญ่แต่หักแล้วเหลือส่วน ท่อนบนนอนอยู่ เป็นของพระนางฮัตเชปสุตอีกต้นถ้าหากไม่หักเสียก่อนเสาโอเบลิสก์ ต้นนี้จะมีความสูงและใหญ่ที่สุดในโลก เพราะสูงถึง 32.2 เมตร เสาโอเบลิสก์ที่พระนางฮัตเชปสุต สั่งทำทั้งหมดมีอยู่ 3 ต้น สั่งทำจากเมืองอัสวาน ต้นที่ 3 นั้นยังสกัดออกจากแหล่งหินแกรนิตสีชมพูไม่สำเร็จเพราะแตกก่อน โอเบลิสก์ท่อนนี้จึงคงอยู่ในบริเวณภูเขาหินเช่นเดิม เรียกว่าอันฟินิช ( Unfinished Obelisk ) ที่เมืองอัสวาน
บริเวณหัวมุมของสระน้ำใกล้กับซากเสาโอเบลิสก์มีอนุสาวรีย์รูปแมลงสคาแร็บ (Scarab) ซึ่งเป็นแมลงนำโชค หากอธิฐานขอพรในสิ่งที่ดี ๆ ให้เดินวนอนุสาวรีย์ 7 รอบ


 

ต้องขอประทานโทษทีทุกๆท่าน พอดีข้าพเจ้าจำไม่ได้เสียแล้วว่าให้เดินวนด้านใดจึงเพื่อขอพรสิ่งดี ๆ ขอเตือนสักนิด ถ้าคิดจะวนถามคนแถวนั้นอีกทีว่าให้เดินวนด้านซ้ายหรือด้านขวา เพราะว่าจะมีอยู่ด้านหนึ่งถ้าเดินวนแล้วจะทำเพื่อขอให้มีลูกอ่ะ
เข้าเรื่องต่อเลยแล้วกัน ทั้งนี้แมลงที่มีลักษณะคล้ายด้วงปีกแข็งชนิดนี้มีความทนทานแม้ว่าจะอยู่ตาม ใต้ก้อนหินหรือท่อนไม้นาน ๆ ก็ไม่ตาย อันหมายความถึงการมีอายุยืน ชาวอียิปต์โบราณจึงใช้เป็นเครื่องรางมีความหมายถึงความโชคดี มีอายุยืน และนับเป็นของศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่าเทพเจ้าเคปริ (Khephri) ที่มีร่างเป็นมนุษย์หัวทรงเหยี่ยวแต่ใบหน้าเป็นแมลง ทั้งนี้สคาแร็บยังเกี่ยวข้องกับสุริยเทพโดยตรงอีกด้วย.
แถมท้ายสำหรับ ศิลปะแบบโอซิไรด์ฟิลลาร์ส ( Osiride Pillars ) รูปจากวิหาร Ramesseum ของ Ramses II

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น